หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

หัวเขียว ตัวแสบ

   เย็นวันหนึ่ง ฉันเผลอเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ห้าบาน มีแมลงวันหัวเขียวตัวเขื่องบินเข้ามาในห้อง เสียงปีกแหวกอากาศของมันดังมาก มันบินวนไปวนมาบินขึ้นบินลง จนน่าเวียนหัว
   ฉันพยายามไล่มันออกจากห้อง สะบัดพัดโบกผ้าไปมา มันก็ยังไม่ยอมไปไหน ทั้งที่หน้าต่างบานเดิมเปิดทิ้งไว้ มิหนำซ้ำบางทีมันบินไปมุมโน้นที มุมนั้นที ประหนึ่งหยอกล้อฉัน
   ฉันคงเป็นหอยทากในสายตาเจ้าหัวเขียว ไม่มีวันที่จะไล่ทัน 
   ฉันนั่งนิ่งสักพักด้วยความเหนื่อย พอสงบใจได้ เกิดปิ๊งแว้บขึ้น ตอนนี้เป็นเวลาหัวค่ำแล้ว ปิดหน้าต่างทุกบาน เปิดประตูห้องให้กว้าง เปิดไฟนอกห้องให้สว่าง ปิดไฟในห้องให้มืดสนิท
   " แต๊บ ! " เสียงปิดสวิตซ์ไฟในห้องดังขึ้น
ทันใดนั้นฉันเห็นเจ้าหัวเขียว บินตรงลิ่วจากที่มืดมิดไปยังที่สว่าง จากในห้องไปนอกห้อง
   ฉันรีบปิดประตูห้องในทันที ลาก่อนเจ้าตัวแสบ

อุปมาดั่ง
 แมลงวัน คือ ตัวกิเลส
 หน้าต่างทั้งห้าและประตู คือ 
     ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
 ในห้อง คือ ตัวตนของเรา

   อันตัวเรานั้น ไม่รู้แน่ชัด มีความเศร้าหมอง เข้ามาจับจองตั้งแต่เมื่อไหร่ อาศัยอายตนะทั้งหก เป็นประตูหน้าต่างให้กิเลสแทรกซึม เข้ามาซ่อนในซอกหลืบ คลังความทรงจำ ประสบการณ์ 
   หลายคน ทำความเพียรเพื่อขจัดกิเลส พยายามตามดูตามทางเข้าของเครื่องเศร้าหมอง แต่ยิ่งตามดูเท่าไหร่ มันยิ่งเหนื่อย มันมาได้เรื่อยๆ 
   เจ้ากิเลสคงเห็นว่ากำลังของเรา ตามมันไม่ทันหรอก ได้เพียงไล่จับเงาของมัน 
   หากเราวางใจด้วยความปล่อยวาง ไม่อยากเห็นอะไร ทำใจให้สงบเป็นกลาง สักพักเกิดปิ๊งแว้บขึ้น 
   ตอนนี้เราลืมตาเราจึงเห็นทุกอย่างผ่านดวงตาคู่นี้ หลับตาดีกว่า พาตัวไปอยู่ในที่สงัดเงียบ ไม่ต้องกินอะไร ไม่ต้องดมกลิ่นหอม จัดระเบียบร่างกายในท่านั่งที่สบาย แล้วทำความเพียร ด้วยความพอเหมาะทำให้ใจจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสร้างสมาธิ โดยอาศัยสติคอยกำกับ ทำไปเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกเป็นกลาง 
   ทันใดนั้นชั่ววูบของการสร้างสมาธิ แว้บขึ้นมาเป็นความสว่างในความมืดมิด เจ้ากิเลสค่อยๆโบกมือลาทีละตัวสองตัว สู้กับมันไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว บางคนเจ็ดวัน บางคนเจ็ดเดือน บางท่านเจ็ดปี สู้ไม่ท้อถอย ทำเป็นกิจวัตรประจำวัน จึงจะได้ปัญญาแท้จริง เป็นเครื่องตัดนางพญากิเลสให้ขาด หมดโอกาสสร้างลูกหลาน แล้วก้าวไปยังโลกุตระต่อไป 


   

   

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

โยนหินลงน้ำอย่างไร ไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อม


    
     เสียงอื้ออึง ระงมความไม่พอใจ ที่ห้องประชุมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
" ร้อยคนสั่ง สิบคนทำ "
" อยากได้แต่ผลงาน แต่เงินสนับสนุนไม่ตามมา "
" พอเปลี่ยนผู้นำทีไร นโยบายเปลี่ยนอีกแล้ว "
" ไม่มีเวลาทำงานแล้ว มีแต่เตรียมประกวดประเมิน "
ประโยคเหล่านี้ เป็นเสียงสะท้อนของผู้เข้าร่วมประชุม

     ทุกครั้งทีมีการถ่ายทอดนโยบาย ตั้งแต่ระดับประเทศลงมา จนถึงระดับผู้ปฏิบัติในพื้นที่ มักมีแรงกระเพื่อมความไม่พอใจ เหนื่อยหน่าย
ตามมาเสมอ
    แรงกระเพื่อมนี้ เกิดจากสิ่งใด อาจเป็นเพราะ ผู้อยู่เบื้องบน กับผู้อยู่เบื้องล่างยังหากันไม่เจอ ข้อความที่สื่อสารหลายทอดกว่าจะถึงปลายทาง สารมีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งบริบทในพื้นที่ และข้อจำกัดต่างๆ ล้วนเป็นปัจจัยต่อแรงกระเพื่อมเช่นกัน
     ยิ่งก้อนหินใหญ่มากเท่าไหร่ เวลาตกน้ำ ยิ่งเกิดแรงกระเพื่อม เกิดคลื่นใหญ่  ไหลเข้าฝั่ง ถล่มตลิ่งพัง คนที่ขว้างหินก้อนนั้นอาจลื่นล้มได้ เพราะตลิ่งทรุด 
     เรามีวิธีใดทำให้น้ำไม่กระเพื่อมได้บ้าง หรือลดแรงกระเพื่อมให้น้อยที่สุด
๑. ทำให้น้ำระเหิดแห้ง หมายถึง ถ้าไม่มีผู้ปฏิบัติเลย ไม่มีแรงต่อต้าน แต่ผลเสียน่าจะมากกว่าผลดี เพราะขาดผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่
๒. ทำให้น้ำเป็นน้ำแข็ง หมายถึง ผู้ปฏิบัติเหมือนหุ่นยนต์ ทำตามคำสั่งอย่างเดียว ไม่มีเสียงทักท้วง
๓. ไม่ต้องโยนก้อนหิน หมายถึง ไม่ต้องมีนโยบาย ไม่ต้องมีตัวชี้วัด อยู่อย่างไรก็ให้เป็นอยู่อย่างนั้น
๔. ฝนทั่งก้อนหินให้เรียวเล็กเท่าเข็ม แล้วปล่อยลงในแนวดิ่ง หมายถึง เบื้องบนปรับนโยบาย ให้เหมาะสมกับพื้นที่ ตามข้อจำกัด และปฏิบัติได้จริง
๕. ค่อยๆหย่อนก้อนหินให้ชิดผิวน้ำมากที่สุด เมื่อน้ำจมก้อนหินเกือบมิด จึงปล่อยมือ หมายถึง เกิดจากการฝังตัวของผู้บริหารในพื้นที่ เกิดความคลุกคลีกับผู้ปฏิบัติ แล้วปรับนโยบายที่เหมาะสม ตรงจุด ค่อยๆประกาศใช้ ปรับเปลี่ยนตามความจำเป็นในแต่ละพื้นที่

     ขอให้มีความสุข เป็นตัวขับเคลื่อนในการทำงาน


     
     

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ความสำเร็จกับความคุ้นเคย


" ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง "
ประโยคข้างต้นนี้ เป็นบางส่วนของมงคลที่ ๑๗
หมายถึง ใครที่รู้จักคบหาผู้ฝักใฝ่ในศีลธรรม เสมือนมีญาติทางธรรม เขาช่างโชคดีเหลือเกิน เพราะญาติแบบนี้ไว้ใจได้ เชื่อใจได้ คอยช่วยเหลือเกื้อกูล ในทางที่เป็นประโยชน์

     ในอีกมุมมอง ความคุ้นเคยเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความสำเร็จ
     ผมพิชิตมินิมาราธอนแรก ด้วยความคุ้นเคยครับ
ความคุ้นเคยในที่นี้คือ การที่ร่างกายเคยชิน ทนอยู่ได้ กับสภาวะต่างๆ ในขณะวิ่งตลอดระยะทาง ๑๐ กิโลเมตร
     เวลาเป็นราคาที่ต้องจ่ายให้ความคุ้นเคย ต้องฝึกฝน ฝึกฝืน ทำซ้ำๆ จากวิ่งเบาๆแล้วค่อยเพิ่มความยากขึ้น
     การฝึกฝน ปรับปรุงการวิ่งให้ดีขึ้น ต้องอยู่ภายใต้แบบแผนการฝึกที่ถูกต้อง
     แบบแผนการฝึกที่ถูกต้อง พึงพอเหมาะกับขีดจำกัดร่างกายของตนเอง
     การเข้าสู่เส้นชัย หรือสภาวะแห่งความสำเร็จ ช่างหอมหวาน ปลาบปลื้ม น่ายินดี พร้อมเสียงปรบมือดังๆ 

     แต่ว่าในระหว่างทางวิ่งไปสู่ความสำเร็จ บททดสอบต่างๆนาๆ ถาโถม ความเจ็บปวดรวดร้าว เหนื่อยหอบ เหนื่อยหน่าย ลังเลสงสัย 
     หากจะมีอะไรบางอย่าง ทำให้เราทนทาน จัดการกับความไม่สบายต่างๆได้ นั่นคือคำตอบที่นำเราไปสู่ความสำเร็จ 
     ใช่แล้ว มันคือ 'ความคุ้นเคย' ทำให้เราผ่านความทุกข์ระหว่างทางได้ โดยเลียนแบบวิถีความสำเร็จ

     ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในเรื่องใด ต้องสร้างความคุ้นเคยในเรื่องนั้น โดยหมั่นฝึกฝน ปรับปรุงให้ดีขึ้น มีแบบแผนในการดำเนินการเหมาะสมกับตนเอง
เพราะ..
" ความคุ้นเคยเป็นญาติกับความสำเร็จอย่างยิ่ง "

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ก้าวย่าง ห่างอบาย


   วันนี้ก็คงเหมือนทุกวันที่แสนธรรมดา ผมเดินวิ่งที่เป้าหมาย 450 กิโลแคลอรี่ แต่มีบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้การออกกำลังกายวันนี้แสนวิเศษยิ่งนัก
   ผมเริ่มเดินวิ่งที่ริมสระน้ำข้างโรงพยาบาล ตั้งแต้ฟ้ายังแจ้งด้วยแดดอ่อนๆ แทบทุกครั้งผมเป็นคนที่อยู่ในลู่วิ่งเป็นคนสุดท้าย กระทั่งฟ้ามืดมิดมองไม่เห็นเส้นลายมือ

   ขณะวิ่งได้สัก 300 กิโลแคลอรี่ บรรยากาศรอบสระน้ำมืดมัวมีไฟสลัวส่องแสง ผมสังเกตเห็นเงามืดยืนอยู่ใกล้พุ่มไม้ สายตาคู่นั้นจับจ้องมายังผม ผมกังวลเล็กน้อย

   พอเดินเข้าไปใกล้ เห็นชายหนุ่มแก้มตอบผอมแห้ง ผมชี้ฟูรุงรัง ท่าทางเซอร์ๆ เอ่ยถาม
" หมอครับ! ออกกำลังกายดีไหมครับ " ผมแปลกใจกับชายหนุ่มดูไร้เรี่ยวแรง สอบถามการออกกำลังกาย
" ดีครับ " ผมตอบไปสั้นๆ
   พอชายหนุ่มได้ยินที่ผมตอบ เขาไม่รีรอ ไม่วอร์มร่างกาย เขาก้าวเท้าวิ่งในทันที เหมือนปลดปล่อยอะไรบางอย่าง
   ผมสงสัยในท่าทีแปลกๆของชายหนุ่ม จึงพยายามวิ่งตามให้ทันเพื่อสอบถาม กลายเป็นว่าผมเริ่มหมดแรงแล้ว เปลี่ยนเป็นเดินไปเรื่อยๆแทน พร้อบขบคิดบางอย่างในใจ
   พอชายหนุ่มวิ่งมาถึงผมพอดี ผมจึงก้าววิ่งขนาบไปพร้อมเขา การสนทนาขณะจ๊อกกิ้งเกิดขึ้น
" ผมเห็นหมอวิ่งอยู่หลายรอบ แต่ตัวเองเอาแต่ดูดบุหรี่ในเงามืด รู้สึกสมเพชตัวเอง จึงขว้างบุหรี่ทิ้งไป "
" ยอดเยี่ยมมากครับ คุณมาทำอะไรแถวนี้ "
" ผมมาเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลครับ ท่านไม่สบายป่วยหนักด้วยโรคที่รักษาไม่หาย เบื่อเซ็งเลยมาหาที่ดูดบุหรี่ "
" แล้วคิดยังไง ถึงอยากวิ่งละครับ "
" ตอนแม่ผมป่วยหนัก ท่านบอกว่าอยากเห็นผมเลิกบุหรี่เลิกเหล้า และวันนี้ผมเห็นหลายคนรวมทั้งหมอวิ่งรอบสระน้ำ เกิดความคิด กูมานั่งสูบบุหรี่ทำอะไร คนอื่นเขาวิ่งออกกำลังกาย "
" คุณเจ๋งมาก ตั้งใจทำเพื่อแม่ เป็นคำร้องขอสุดท้ายจากท่านต่อคุณ "
   พอวิ่งไปสักพักถึงพุ่มไม้ที่ชายหนุ่มปรากฏตัวครั้งแรก เขาบอกให้ผมหยุดรอก่อน เขาควักบางสิ่งจากกระเป๋ากางเกงยีนส์
ที่พาดบนพุ่มไม้ ในเงามืดผมเห็นเป็นบางอย่างรูปร่างสี่เหลี่ยมขนาดฝ่ามือ เขายื่นสิ่งนั้นให้ผมพร้อมกล่าวว่า
" ช่วยเอาไปเผา หรือเอาไปทำลายให้ผมทีครับ "
สิ่งนั้นคือ ซองยาเส้น ผมรับกับมือชายหนุ่ม พร้อมจะจัดการให้
   การสนทนาขณะวิ่ง สร้างความหอบเหนื่อยแก่ผมอย่างยิ่ง จึงขอตัววิ่งอีกหนึ่งรอบ แต่ชายหนุ่มเชื้อเชิญให้ผมวิ่งอีกสี่รอบ ผมปฏิเสธเขาไป
   ระหว่างวิ่งผมสอบถามได้ว่า มารดาชายหนุ่มพักรักษาตัวเตียงที่สิบสอง ผมกล่าวให้กำลังใจชายหนุ่ม พร้อมขอตัวกลับก่อน
   พอแยกออกมาสักพัก ผมเดินทางไปถึงเตียงที่สิบสอง พร้อมกับชายหนุ่มที่เดินทางมาถึงพอดีเช่นกัน ผมแนะนำตัวเองว่าเป็นใคร แล้วคุยกับคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียง
" คุณป้า ผมมีข่าวดีมาบอก ลูกชายคุณป้าจะเลิกบุหรี่แล้วครับ "
" ผมเจอเขาที่สระน้ำ วิ่งไปพร้อมกัน เขาสัญญาจะเลิกบุหรี่ เขาจะทำสิ่งนั้นเพื่อคุณป้า "
   น้ำตาแห่งความปลื้มใจ ไหลรินคลอแก้วตาทั้งสองของคุณป้า สำทับด้วยคำยืนยันของชายหนุ่ม
" แม่! ผมจะเลิกทั้งเหล้าและบุหรี่ ตั้งแต่ตอนนี้ครับ "
ผมขนลุกกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างยิ่ง
   ผมเดินออกมาจากเตียงที่สิบสอง ด้วยยิ้มน้อยๆที่มุมแก้ม พร้อมฉากหลังของครอบครัว ที่ได้ลูกชายคนใหม่ รายล้อมด้วยกำลังใจจากญาติกา และรู้สึกได้ถึงความรัก


ยาเส้นจากชายหนุ่ม

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปลดเปลื้องพันธนาการ



     สิ่งสำคัญในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ในช่วงเปลวเทียนใกล้มอด คือการ 'เยียวยาจิตวิญญาณ'

     มานะ หนุ่มน้อยวัยแปดขวบ มีความใฝ่ฝันจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ตามรอยนักเตะขั้นเทพโรนัลโด้ ต้นแบบของเขา
     ทว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน ขณะที่มานะเตะบอลกับเพื่อนที่โรงเรียน เขาล้มลงหมดสติ ขณะกำลังง้างเท้ายิงประตู
     หนุ่มน้อยตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาล ในอ้อมกอดของพ่อและแม่บนเตียงผู้ป่วย พร้อมกับข่าวร้ายของครอบครัวนี้ เขาเป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้าย

     พ่อกับแม่ของมานะรู้สึกชาที่หน้า หลังจากออกจากห้องแพทย์เจ้าของไข้ กับเสียงที่ก้องในหู 'มานะอยู่ได้ไม่เกินหกเดือน' 
"ทำไมพ่อกับแม่ร้องไห้ เวลากอดผมครับ" มานะถามด้วยแววตาใสซื่อ
     ร่างกายของมานะไม่เหมือนเดิมหลังออกจากโรงพยาบาล เหนื่อยง่าย วูบบ่อยๆ เดินได้ไม่ไกล เรื่องวิ่งไม่ต้องพูดถึง เขานั่งดูเพื่อนเล่นอยู่ข้างสนามบอลที่โรงเรียน
"ครูครับ ทำไมผมเตะบอลกับเพื่อนไม่ได้ครับ" หนุ่มน้อยถามด้วยความเศร้า กับครูที่นั่งอยู่ข้างๆ

     ที่โรงพยาบาลมานะกับปู่นั่งรอพ่อแม่ ที่หน้าห้องตรวจโรค
"จากประวัติและการตรวจเพิ่มเติมในวันนี้ สรุปได้ว่าเนื้องอกลุกลามมากขึ้นครับ" แพทย์แจ้งโรคที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
"มีหนทางใดพอจะช่วยลูกผมได้ไหมครับหมอ ผมขอร้อง" พ่อวิงวอน ขณะที่แม่กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
"ในระยะนี้ไม่มีทางรักษาได้ สิ่งสำคัญในช่วงนี้ คือให้มานะได้ทำตามปรารถนาครับ" แพทย์ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

"พ่อครับ คุณหมอจะให้ผมเตะบอลได้เมื่อไหร่" หนุ่มน้อยรบเร้าคำตอบจากบิดา
"ได้สิลูก พ่อสัญญา" พ่อตอบด้วยเสียงสั่นเครือพร้อมลูบศีรษะมานะเบาๆ

     ครูของมานะและผู้ฝึกสอนทีมฟุตบอลโรงเรียน ทั้งสองคนได้ยินความปรารถนาของหนุ่มน้อยจากพ่อของมานะ แล้วตกลงช่วยกันสร้างฝันนั้นให้เกิดขึ้น
     เรื่องราวของมานะถูกเล่าจากปากสู่ปาก วันนี้เป็นนัดสำคัญของทีมฟุตบอลโรงเรียนของมานะ ถ้าชนะคู่แข่งจะได้เป็นตัวแทนอำเภอไปเตะที่จังหวัดต่อไป
     กองเชียร์นั่งเต็มอัฒจันทร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลายคนชูป้ายกระดาษเขียนว่า 'มานะ สู้ๆ'
     มานะในชุดนักฟุตบอล เดินนำทีมลงสู่สนาม เสียงปรบมือดังอยู่ยาวนาน หนุ่มน้อยสัมผัสพลังอันอบอุ่นจากกำลังใจของผู้คนที่ส่งตรงถึงหัวใจ เขาตื้นตัน ชูมือขึ้นกำหมัดไว้แน่น

     เสียงนกหวีดยาวดังขึ้น การแข่งขันเริ่มแล้ว มานะนั่งเชียร์เพื่อนอย่างตื่นเต้น ที่ซุ้มม้านั่งตัวสำรอง
     มานะถูกเปลี่ยนเป็นคนที่สาม ในช่วงนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน เสียงนกหวีดเป่าหมดเวลา ผลการแข่งขันเสมอกันที่ 0:0 ต้องดวลจุดโทษต่อไป
     มานะถูกเลือกให้ยิงลูกโทษคนสุดท้าย เขาเผชิญหน้ากับผู้รักษาประตูร่างใหญ่ตัวต่อตัว เสียงเชียร์ดังกระหึ่มข้างสนาม "มานะ" "มานะ" "มานะ"
     มานะตั้งสมาธิไปที่ลูกบอล ค่อยๆถอยหลังห่างลูกบอลสองก้าว ยืนกางขาในท่าชาร์จพลัง ซอยเท้าถี่ๆอยู่กับที่สี่ครั้ง วิ่งไปยังลูกบอลตรงหน้า แล้วหวดเต็มแรงด้วยเท้าขวา ลูกบอลพุ่งทะยานออกไป ทันใดนั้นร่างหนุ่มน้อยล้มฟุบลงไป พร้อมเปลวไฟแห่งชีวิตดับลง 

     ในอ้อมกอดของพ่อ ร่างน้อยใบหน้าซีดขาว อยู่ในลักษณะยิ้มน้อยๆ เย้ยความหวาดกลัว เขาได้ปลดปล่อยตัวเองแล้ว

(แรงบันดาลใจ :

Rochdale name terminally ill five-year-old Joshua McCormack as substitute for Checkatrade Trophy clash)


     

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ฉันได้ยินเสียงฝน แต่ฉันไม่ได้โกรธสายฝน


       การรวบรวมพลัง แม้เป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่ว่าสั่งสมกำลังมากพอ
พลังที่ผ่านออกมาจากจุดเล็กนี้ ทรงพลานุภาพยิ่งนัก ถ้านำพลังนี้ไปใช้งานใดก็สำเร็จ
     ยิ่งเราบีบสายยางให้แคบลงมากเท่าไหร่ น้ำที่ออกมาแม้มีขนาดเล็ก กลับมีกำลังแรงมากยิ่งขึ้น ฉีดชะล้างคราบฝังแน่นให้หลุดลอก ง่ายกว่าสายยางขนาดปกติ
     นักมวยไทยที่ต่อสู้กับนักมวยฝรั่งที่ตัวใหญ่กว่า ต้องแบกน้ำหนักหลายสิบกิโลกรัม ไม่สามารถปะทะตรงๆกับคู่ต่อสู้ได้ อาศัยการเตะเจาะยางที่ต้นขา ซ้ำๆ ที่เดิม แบบเน้นๆ จนคู่แข่งยางแตก ยักษ์ก็ล้มได้เหมือนกัน
     ความโกรธเหมือนนักมวยฝรั่งตัวใหญ่ ไม่สามารถปะทะกับมันตรงๆได้ อาศัยการเต้นฟุตเวิร์คหลบหลีกมันก่อน แล้วเตะเจาะยางต้นขามันหลายๆที และรัวๆ ด้วยพลังสติ อย่าให้มันได้ลุกขึ้นยืนอีก 
     ในการทำงานก็เช่นกัน ย่อมมี 'สรรเสริญ' 'นินทา' อย่าให้คำนินทาของใครมาเกาะกุมใจเรา หมั่นฟอกใจเราให้ผ่องใส ไม่ยอมให้อารมณ์ลบมาติดแน่น ด้วยการสั่งสมพลังจิตให้เข้มแข็ง เป็นภูมิต้านทาน ให้มีสติสักเพียงรู้ว่า เสียงที่ได้ยินเป็นคลื่นแหวกอากาศเข้ารูหูเรา ไม่ตีความ เหมือนเราได้ยินเสียงฝน แต่เราไม่โกรธสายฝน

      
     

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ไม้ได้เป็นหมอ ก็ดูแลพ่อได้

       คุณปู่ป่วยเป็นโรคร้ายอยู่ในระยะท้ายของชีวิต ได้ตกลงกับคนในครอบครัวว่าถ้าอาการหนักมากขึ้น ไม่ต้องเอาไปโรงพยาบาล อยากสิ้นใจอยู่ที่บ้าน        ทุกคนในบ้านพากันทำตามเจตจำนงของคุณปู่ตั้งแต่รู้ว่าโรคร้ายได้ลุกลามไปมากแล้ว
       ครอบครัวนี้พาคุณปู่มายังบ้าน ที่เป็นต้นกำเนิดของชีวิต อาการของคุณปู่เป็นมากขึ้น ลุกเดินไม่ได้ นอนติดเตียง กินได้น้อยลงอย่างมาก เบื่ออาหาร มีอาการปวดร้าวไปตามกระดูกทั่วร่าง ดั่งเข็มเป็นพันเล่มทิ่มแทงตลอดเวลา ยาอย่างแรงที่มี ต้องกินทางปาก เริ่มใช้ไม่ได้ผล เพราะคุณปู่เบื่ออาหาร กินยาเม็ดลำบากมาก      
       บทบาทของศูนย์ดูแลต่อเนื่องของโรงพยาบาลใกล้บ้านจึงเริ่มขึ้นพยาบาลประจำหน่วยดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ได้เข้ามาประเมินอาการคุณปู่ พบว่าอาการคุณปู่ไม่สู้ดีนัก ได้คุยกับครอบครัวคุณปู่ถึงการจัดการอาการรบกวนในช่วงสุดท้ายของชีวิต โดยจะให้ยาระงับอาการปวดชนิดรุนแรงทางใต้ผิวหนังออกฤทธิ์ยาว 24 ชั่วโมง       
      เนื่องจากว่าทางเจ้าหน้าที่มีงานประจำที่โรงพยาบาล ในช่วงที่ยาหมดครบ 24 ชั่วโมงอาจมีปัญหา จึงได้คุยกับลูกชายผู้ป่วยให้ช่วยเติมยาให้ผู้ป่วยผ่านเครื่องนำส่งยา ลูกชายผู้ป่วยยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ทำหน้าที่นี้ พอสอนจนทำเป็น ทีมงานจึงลากลับโรงพยาบาล        
     ในวันหยุดราชการ ลูกชายของผู้ป่วย มารับยาที่ห้องฉุกเฉิน โดยเจ้าหน้าที่ได้ผสมยาไว้ให้พร้อมสำหรับคุณปู่ ลูกชายเพียงนำยาที่เตรียมไว้ในกระบอกฉีดยา เอาไปต่อกับเครื่องนำส่งยาใต้ผิวหนังที่บ้าน แค่นี้ก็สามารถจัดการอาการรบกวนคุณปู่ได้ 24 ชั่วโมง     
     5 วันต่อมา ได้ทราบข่าวว่า คุณปู่จากไปแล้วลูกชายได้นำเครื่องนำส่งยามาคืนโรงพยาบาล พร้อมขอบคุณทางโรงพยาบาลที่ช่วยเหลือดูแลคุณปู่เป็นอย่างดี"ผมนำเครื่องส่งยามาคืนครับ  ผมมีความสุขมากที่ได้อยู่ดูแลคุณพ่อจนสิ้นลม  ก่อนจากไปท่านดูสงบ ไม่ทุรนทุราย  ผมภูมิใจที่ผมได้เป็นหมอดูแลพ่อตนเองได้"เขากล่าว ด้วยแววตาที่คลอไปด้วยน้ำบ่อน้อย ที่ท้นในเบ้าตาทั้งสองข้าง พอต้องแสง กลายเป็นประกายที่งดงาม