หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ก้าวย่าง ห่างอบาย


   วันนี้ก็คงเหมือนทุกวันที่แสนธรรมดา ผมเดินวิ่งที่เป้าหมาย 450 กิโลแคลอรี่ แต่มีบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้การออกกำลังกายวันนี้แสนวิเศษยิ่งนัก
   ผมเริ่มเดินวิ่งที่ริมสระน้ำข้างโรงพยาบาล ตั้งแต้ฟ้ายังแจ้งด้วยแดดอ่อนๆ แทบทุกครั้งผมเป็นคนที่อยู่ในลู่วิ่งเป็นคนสุดท้าย กระทั่งฟ้ามืดมิดมองไม่เห็นเส้นลายมือ

   ขณะวิ่งได้สัก 300 กิโลแคลอรี่ บรรยากาศรอบสระน้ำมืดมัวมีไฟสลัวส่องแสง ผมสังเกตเห็นเงามืดยืนอยู่ใกล้พุ่มไม้ สายตาคู่นั้นจับจ้องมายังผม ผมกังวลเล็กน้อย

   พอเดินเข้าไปใกล้ เห็นชายหนุ่มแก้มตอบผอมแห้ง ผมชี้ฟูรุงรัง ท่าทางเซอร์ๆ เอ่ยถาม
" หมอครับ! ออกกำลังกายดีไหมครับ " ผมแปลกใจกับชายหนุ่มดูไร้เรี่ยวแรง สอบถามการออกกำลังกาย
" ดีครับ " ผมตอบไปสั้นๆ
   พอชายหนุ่มได้ยินที่ผมตอบ เขาไม่รีรอ ไม่วอร์มร่างกาย เขาก้าวเท้าวิ่งในทันที เหมือนปลดปล่อยอะไรบางอย่าง
   ผมสงสัยในท่าทีแปลกๆของชายหนุ่ม จึงพยายามวิ่งตามให้ทันเพื่อสอบถาม กลายเป็นว่าผมเริ่มหมดแรงแล้ว เปลี่ยนเป็นเดินไปเรื่อยๆแทน พร้อบขบคิดบางอย่างในใจ
   พอชายหนุ่มวิ่งมาถึงผมพอดี ผมจึงก้าววิ่งขนาบไปพร้อมเขา การสนทนาขณะจ๊อกกิ้งเกิดขึ้น
" ผมเห็นหมอวิ่งอยู่หลายรอบ แต่ตัวเองเอาแต่ดูดบุหรี่ในเงามืด รู้สึกสมเพชตัวเอง จึงขว้างบุหรี่ทิ้งไป "
" ยอดเยี่ยมมากครับ คุณมาทำอะไรแถวนี้ "
" ผมมาเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลครับ ท่านไม่สบายป่วยหนักด้วยโรคที่รักษาไม่หาย เบื่อเซ็งเลยมาหาที่ดูดบุหรี่ "
" แล้วคิดยังไง ถึงอยากวิ่งละครับ "
" ตอนแม่ผมป่วยหนัก ท่านบอกว่าอยากเห็นผมเลิกบุหรี่เลิกเหล้า และวันนี้ผมเห็นหลายคนรวมทั้งหมอวิ่งรอบสระน้ำ เกิดความคิด กูมานั่งสูบบุหรี่ทำอะไร คนอื่นเขาวิ่งออกกำลังกาย "
" คุณเจ๋งมาก ตั้งใจทำเพื่อแม่ เป็นคำร้องขอสุดท้ายจากท่านต่อคุณ "
   พอวิ่งไปสักพักถึงพุ่มไม้ที่ชายหนุ่มปรากฏตัวครั้งแรก เขาบอกให้ผมหยุดรอก่อน เขาควักบางสิ่งจากกระเป๋ากางเกงยีนส์
ที่พาดบนพุ่มไม้ ในเงามืดผมเห็นเป็นบางอย่างรูปร่างสี่เหลี่ยมขนาดฝ่ามือ เขายื่นสิ่งนั้นให้ผมพร้อมกล่าวว่า
" ช่วยเอาไปเผา หรือเอาไปทำลายให้ผมทีครับ "
สิ่งนั้นคือ ซองยาเส้น ผมรับกับมือชายหนุ่ม พร้อมจะจัดการให้
   การสนทนาขณะวิ่ง สร้างความหอบเหนื่อยแก่ผมอย่างยิ่ง จึงขอตัววิ่งอีกหนึ่งรอบ แต่ชายหนุ่มเชื้อเชิญให้ผมวิ่งอีกสี่รอบ ผมปฏิเสธเขาไป
   ระหว่างวิ่งผมสอบถามได้ว่า มารดาชายหนุ่มพักรักษาตัวเตียงที่สิบสอง ผมกล่าวให้กำลังใจชายหนุ่ม พร้อมขอตัวกลับก่อน
   พอแยกออกมาสักพัก ผมเดินทางไปถึงเตียงที่สิบสอง พร้อมกับชายหนุ่มที่เดินทางมาถึงพอดีเช่นกัน ผมแนะนำตัวเองว่าเป็นใคร แล้วคุยกับคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียง
" คุณป้า ผมมีข่าวดีมาบอก ลูกชายคุณป้าจะเลิกบุหรี่แล้วครับ "
" ผมเจอเขาที่สระน้ำ วิ่งไปพร้อมกัน เขาสัญญาจะเลิกบุหรี่ เขาจะทำสิ่งนั้นเพื่อคุณป้า "
   น้ำตาแห่งความปลื้มใจ ไหลรินคลอแก้วตาทั้งสองของคุณป้า สำทับด้วยคำยืนยันของชายหนุ่ม
" แม่! ผมจะเลิกทั้งเหล้าและบุหรี่ ตั้งแต่ตอนนี้ครับ "
ผมขนลุกกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างยิ่ง
   ผมเดินออกมาจากเตียงที่สิบสอง ด้วยยิ้มน้อยๆที่มุมแก้ม พร้อมฉากหลังของครอบครัว ที่ได้ลูกชายคนใหม่ รายล้อมด้วยกำลังใจจากญาติกา และรู้สึกได้ถึงความรัก


ยาเส้นจากชายหนุ่ม

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปลดเปลื้องพันธนาการ



     สิ่งสำคัญในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ในช่วงเปลวเทียนใกล้มอด คือการ 'เยียวยาจิตวิญญาณ'

     มานะ หนุ่มน้อยวัยแปดขวบ มีความใฝ่ฝันจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ตามรอยนักเตะขั้นเทพโรนัลโด้ ต้นแบบของเขา
     ทว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน ขณะที่มานะเตะบอลกับเพื่อนที่โรงเรียน เขาล้มลงหมดสติ ขณะกำลังง้างเท้ายิงประตู
     หนุ่มน้อยตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาล ในอ้อมกอดของพ่อและแม่บนเตียงผู้ป่วย พร้อมกับข่าวร้ายของครอบครัวนี้ เขาเป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้าย

     พ่อกับแม่ของมานะรู้สึกชาที่หน้า หลังจากออกจากห้องแพทย์เจ้าของไข้ กับเสียงที่ก้องในหู 'มานะอยู่ได้ไม่เกินหกเดือน' 
"ทำไมพ่อกับแม่ร้องไห้ เวลากอดผมครับ" มานะถามด้วยแววตาใสซื่อ
     ร่างกายของมานะไม่เหมือนเดิมหลังออกจากโรงพยาบาล เหนื่อยง่าย วูบบ่อยๆ เดินได้ไม่ไกล เรื่องวิ่งไม่ต้องพูดถึง เขานั่งดูเพื่อนเล่นอยู่ข้างสนามบอลที่โรงเรียน
"ครูครับ ทำไมผมเตะบอลกับเพื่อนไม่ได้ครับ" หนุ่มน้อยถามด้วยความเศร้า กับครูที่นั่งอยู่ข้างๆ

     ที่โรงพยาบาลมานะกับปู่นั่งรอพ่อแม่ ที่หน้าห้องตรวจโรค
"จากประวัติและการตรวจเพิ่มเติมในวันนี้ สรุปได้ว่าเนื้องอกลุกลามมากขึ้นครับ" แพทย์แจ้งโรคที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
"มีหนทางใดพอจะช่วยลูกผมได้ไหมครับหมอ ผมขอร้อง" พ่อวิงวอน ขณะที่แม่กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
"ในระยะนี้ไม่มีทางรักษาได้ สิ่งสำคัญในช่วงนี้ คือให้มานะได้ทำตามปรารถนาครับ" แพทย์ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

"พ่อครับ คุณหมอจะให้ผมเตะบอลได้เมื่อไหร่" หนุ่มน้อยรบเร้าคำตอบจากบิดา
"ได้สิลูก พ่อสัญญา" พ่อตอบด้วยเสียงสั่นเครือพร้อมลูบศีรษะมานะเบาๆ

     ครูของมานะและผู้ฝึกสอนทีมฟุตบอลโรงเรียน ทั้งสองคนได้ยินความปรารถนาของหนุ่มน้อยจากพ่อของมานะ แล้วตกลงช่วยกันสร้างฝันนั้นให้เกิดขึ้น
     เรื่องราวของมานะถูกเล่าจากปากสู่ปาก วันนี้เป็นนัดสำคัญของทีมฟุตบอลโรงเรียนของมานะ ถ้าชนะคู่แข่งจะได้เป็นตัวแทนอำเภอไปเตะที่จังหวัดต่อไป
     กองเชียร์นั่งเต็มอัฒจันทร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลายคนชูป้ายกระดาษเขียนว่า 'มานะ สู้ๆ'
     มานะในชุดนักฟุตบอล เดินนำทีมลงสู่สนาม เสียงปรบมือดังอยู่ยาวนาน หนุ่มน้อยสัมผัสพลังอันอบอุ่นจากกำลังใจของผู้คนที่ส่งตรงถึงหัวใจ เขาตื้นตัน ชูมือขึ้นกำหมัดไว้แน่น

     เสียงนกหวีดยาวดังขึ้น การแข่งขันเริ่มแล้ว มานะนั่งเชียร์เพื่อนอย่างตื่นเต้น ที่ซุ้มม้านั่งตัวสำรอง
     มานะถูกเปลี่ยนเป็นคนที่สาม ในช่วงนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน เสียงนกหวีดเป่าหมดเวลา ผลการแข่งขันเสมอกันที่ 0:0 ต้องดวลจุดโทษต่อไป
     มานะถูกเลือกให้ยิงลูกโทษคนสุดท้าย เขาเผชิญหน้ากับผู้รักษาประตูร่างใหญ่ตัวต่อตัว เสียงเชียร์ดังกระหึ่มข้างสนาม "มานะ" "มานะ" "มานะ"
     มานะตั้งสมาธิไปที่ลูกบอล ค่อยๆถอยหลังห่างลูกบอลสองก้าว ยืนกางขาในท่าชาร์จพลัง ซอยเท้าถี่ๆอยู่กับที่สี่ครั้ง วิ่งไปยังลูกบอลตรงหน้า แล้วหวดเต็มแรงด้วยเท้าขวา ลูกบอลพุ่งทะยานออกไป ทันใดนั้นร่างหนุ่มน้อยล้มฟุบลงไป พร้อมเปลวไฟแห่งชีวิตดับลง 

     ในอ้อมกอดของพ่อ ร่างน้อยใบหน้าซีดขาว อยู่ในลักษณะยิ้มน้อยๆ เย้ยความหวาดกลัว เขาได้ปลดปล่อยตัวเองแล้ว

(แรงบันดาลใจ :

Rochdale name terminally ill five-year-old Joshua McCormack as substitute for Checkatrade Trophy clash)


     

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ฉันได้ยินเสียงฝน แต่ฉันไม่ได้โกรธสายฝน


       การรวบรวมพลัง แม้เป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่ว่าสั่งสมกำลังมากพอ
พลังที่ผ่านออกมาจากจุดเล็กนี้ ทรงพลานุภาพยิ่งนัก ถ้านำพลังนี้ไปใช้งานใดก็สำเร็จ
     ยิ่งเราบีบสายยางให้แคบลงมากเท่าไหร่ น้ำที่ออกมาแม้มีขนาดเล็ก กลับมีกำลังแรงมากยิ่งขึ้น ฉีดชะล้างคราบฝังแน่นให้หลุดลอก ง่ายกว่าสายยางขนาดปกติ
     นักมวยไทยที่ต่อสู้กับนักมวยฝรั่งที่ตัวใหญ่กว่า ต้องแบกน้ำหนักหลายสิบกิโลกรัม ไม่สามารถปะทะตรงๆกับคู่ต่อสู้ได้ อาศัยการเตะเจาะยางที่ต้นขา ซ้ำๆ ที่เดิม แบบเน้นๆ จนคู่แข่งยางแตก ยักษ์ก็ล้มได้เหมือนกัน
     ความโกรธเหมือนนักมวยฝรั่งตัวใหญ่ ไม่สามารถปะทะกับมันตรงๆได้ อาศัยการเต้นฟุตเวิร์คหลบหลีกมันก่อน แล้วเตะเจาะยางต้นขามันหลายๆที และรัวๆ ด้วยพลังสติ อย่าให้มันได้ลุกขึ้นยืนอีก 
     ในการทำงานก็เช่นกัน ย่อมมี 'สรรเสริญ' 'นินทา' อย่าให้คำนินทาของใครมาเกาะกุมใจเรา หมั่นฟอกใจเราให้ผ่องใส ไม่ยอมให้อารมณ์ลบมาติดแน่น ด้วยการสั่งสมพลังจิตให้เข้มแข็ง เป็นภูมิต้านทาน ให้มีสติสักเพียงรู้ว่า เสียงที่ได้ยินเป็นคลื่นแหวกอากาศเข้ารูหูเรา ไม่ตีความ เหมือนเราได้ยินเสียงฝน แต่เราไม่โกรธสายฝน

      
     

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ไม้ได้เป็นหมอ ก็ดูแลพ่อได้

       คุณปู่ป่วยเป็นโรคร้ายอยู่ในระยะท้ายของชีวิต ได้ตกลงกับคนในครอบครัวว่าถ้าอาการหนักมากขึ้น ไม่ต้องเอาไปโรงพยาบาล อยากสิ้นใจอยู่ที่บ้าน        ทุกคนในบ้านพากันทำตามเจตจำนงของคุณปู่ตั้งแต่รู้ว่าโรคร้ายได้ลุกลามไปมากแล้ว
       ครอบครัวนี้พาคุณปู่มายังบ้าน ที่เป็นต้นกำเนิดของชีวิต อาการของคุณปู่เป็นมากขึ้น ลุกเดินไม่ได้ นอนติดเตียง กินได้น้อยลงอย่างมาก เบื่ออาหาร มีอาการปวดร้าวไปตามกระดูกทั่วร่าง ดั่งเข็มเป็นพันเล่มทิ่มแทงตลอดเวลา ยาอย่างแรงที่มี ต้องกินทางปาก เริ่มใช้ไม่ได้ผล เพราะคุณปู่เบื่ออาหาร กินยาเม็ดลำบากมาก      
       บทบาทของศูนย์ดูแลต่อเนื่องของโรงพยาบาลใกล้บ้านจึงเริ่มขึ้นพยาบาลประจำหน่วยดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ได้เข้ามาประเมินอาการคุณปู่ พบว่าอาการคุณปู่ไม่สู้ดีนัก ได้คุยกับครอบครัวคุณปู่ถึงการจัดการอาการรบกวนในช่วงสุดท้ายของชีวิต โดยจะให้ยาระงับอาการปวดชนิดรุนแรงทางใต้ผิวหนังออกฤทธิ์ยาว 24 ชั่วโมง       
      เนื่องจากว่าทางเจ้าหน้าที่มีงานประจำที่โรงพยาบาล ในช่วงที่ยาหมดครบ 24 ชั่วโมงอาจมีปัญหา จึงได้คุยกับลูกชายผู้ป่วยให้ช่วยเติมยาให้ผู้ป่วยผ่านเครื่องนำส่งยา ลูกชายผู้ป่วยยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ทำหน้าที่นี้ พอสอนจนทำเป็น ทีมงานจึงลากลับโรงพยาบาล        
     ในวันหยุดราชการ ลูกชายของผู้ป่วย มารับยาที่ห้องฉุกเฉิน โดยเจ้าหน้าที่ได้ผสมยาไว้ให้พร้อมสำหรับคุณปู่ ลูกชายเพียงนำยาที่เตรียมไว้ในกระบอกฉีดยา เอาไปต่อกับเครื่องนำส่งยาใต้ผิวหนังที่บ้าน แค่นี้ก็สามารถจัดการอาการรบกวนคุณปู่ได้ 24 ชั่วโมง     
     5 วันต่อมา ได้ทราบข่าวว่า คุณปู่จากไปแล้วลูกชายได้นำเครื่องนำส่งยามาคืนโรงพยาบาล พร้อมขอบคุณทางโรงพยาบาลที่ช่วยเหลือดูแลคุณปู่เป็นอย่างดี"ผมนำเครื่องส่งยามาคืนครับ  ผมมีความสุขมากที่ได้อยู่ดูแลคุณพ่อจนสิ้นลม  ก่อนจากไปท่านดูสงบ ไม่ทุรนทุราย  ผมภูมิใจที่ผมได้เป็นหมอดูแลพ่อตนเองได้"เขากล่าว ด้วยแววตาที่คลอไปด้วยน้ำบ่อน้อย ที่ท้นในเบ้าตาทั้งสองข้าง พอต้องแสง กลายเป็นประกายที่งดงาม






วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คนไข้เปลี่ยนใจคุณหมอ

        คลินิกโรคหืดจะเปิดให้บริการทุกวันจันทร์ในช่วงเช้า ณ โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง
วันนี้ก็เหมือนกับทุกจันทร์ที่ผ่านมานั่นแหล่ะ ที่ต้องมีแพทย์มาตรวจ มีพยาบาลคัดกรองผู้ป่วย
มีผู้ป่วยโรคหืดเป่าหลอดทดสอบสมรรถภาพปอด แล้วส่งเข้าพบแพทย์
ในการสื่อสารกับผู้ป่วยผมจะใช้ภาษาท้องถิ่นเป็นหลัก คือภาษาอีสาน ยิ่งพูดได้ถูกตามเผ่าของผู้ป่วย
การสนทนาจะยิ่งออกรสชาติ คุยกันเหมือนญาติพี่น้อง ทลายกำแพงหมอกับคนไข้ เกิดความไว้ใจ
มีความลับอะไร หรือสงสัยอะไร ก็จะถามหมอ
     
        "ผมยังสูบบุหริ่อยู่ครับ วันละ 3 มวน" ผู้ป่วยหนุ่มใหญ่ได้กล่าวกับผม จากความเชื่อใจต่อกัน
ไม่กลัวที่โดนหมอดุ หมอคอยหาทางออกร่วมกับคนไข้รายนี้ ตามบริบทชีวิตของเขา
ที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนที่สูบบุหรี่ สูบบุหรี่แล้วทำให้กระปรี้กระเปร่าทำงานได้ ผู้ป่วยรายนี้ให้สัญญาว่า
จะพยายามเลิกบุหรี่ให้ได้ หน้าที่หมออย่างผมก็ต้องเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วย

        เวลาก็ล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว อีก 5 นาที จะพักเที่ยง ผมเตรียมตัวเก็บของที่จะไปกินข้าวแล้ว
เพราะคลินิกโรคหืดมักเสร็จก่อน 11.30 นาฬิกา
"คุณหมอค่ะ เหลือคนไข้อีกคนหนึ่งค่ะ" เสียงพยาบาลแจ้งให้ผมรู้ว่ายังมีผู้ป่วยอยู่ ขณะนั้นเวลาเที่ยงพอดี

        ผมรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที เพราะปกติ 11 โมงครึ่ง ก็ไม่มีคนไข้แล้ว ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว ด้วยความเคยชินแบบเดิมๆ จึงมีอารมณ์ไม่ดีที่ไม่ได้พักเที่ยงตามเวลา บวกกับเริ่มหิวข้าวแล้ว
ในใจตอนนั้นเตรียมคำถามที่ก้องในหัวว่า ทำไมมาเอาป่านนี้ๆๆๆ
พยาบาลแง้มผ้าม่าน พาคุณตาคนหนึ่ง ผิวเข้ม ผมขาวโพลน หน้าตาซื่อซื่อ มานั่งยังเก้าอี้
ก่อนที่ผมจะยิงคำถามหักหาญน้ำใจกับคุณตานั้น พยาบาลได้กล่าวกับผมว่า

        "คุณหมอค่ะ คุณตาเพิ่งมาถึงตอนเกือบเที่ยงค่ะ"  ผมคิดในใจ แล้วมัวทำอะไรอยู่
        "คุณตาออกจากบ้าน ตั้งแต่ 8 โมงแล้วค่ะ เพิ่งมาถึง" ทำไมเดินทางนานจัง ผมสงสัยในใจ
        "คุณตาปั่นจักรยานมาคนเดียวค่ะ"

        ตอนนี้ผมเริ่มสงสารคุณตา จึงถามไปว่าคุณตาว่าเหนื่อยไหม ที่ปั่นจักรยานมา คุณตาบอกว่าเหนื่อยก็หยุดพัก เกือบสิบรอบกว่าจะมาถึงโรงพยาบาล ณ จุดนี้ผมเริ่มสะท้อนเข้ามาข้างในใจตนเอง เห็นการสั่นไหวภายในของตน เห็นความพยายามของคุณตา ทั้งๆที่เป็นโรคหืด อายุก็มาก หนทางก็ไกลสัก 13 กิโลเมตรได้
ผมนิ่งไปสักพัก!
ผมเริ่มพูดไม่ออก จุกที่อก ความหิว ความโกรธคุณตาก่อนหน้านี้ โดนไล่ที่ด้วยความเห็นใจ และสงสารจับใจ

จึงรีบตรวจและประสานกับพยาบาล ให้ดูแลเรื่องยาโรคหืด ส่งถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ของคุณตา จะได้รับยาใกล้บ้าน
        พยาบาลใจดี นำข้าวน้ำมาเลี้ยงคุณตา พอถึงเวลาบ่ายโมงตรง ผมกับทีมงานเยี่ยมบ้าน มีภารกิจแถวชุมชนของคุณตา จึงพาคุณตาไปส่งที่บ้านด้วย
สิ่งที่เห็นคือจักรยานคู่ชีพของคุณตา อยู่ในสภาพบุโรทั่ง เก่าขึ้นสนิม อายุใช้งานน่าจะไม่ต่ำกว่าสิบปี
พอถึงบ้านคุณตา มีคุณยายนั่งรออยู่หน้าบ้าน สภาพไม่ต่างจากคุณตา คือเดินเหินลำบาก มองมายังคุณตาด้วยแววตาที่เป็นห่วงปนดีใจ เพราะคุณยายกลัวคุณตาจะไปไม่ถึงโรงพยาบาล

        ก่อนรถกระบะโรงพยาบาล จะพ้นบ้าน ผมเหลือบมองไปเห็น ฉากสนทนาระหว่างคุณตากับคุณยายที่อยู่หน้าบ้าน บรรยากาศของคนรักที่รอคอยการกลับมาของสามีด้วยความเป็นห่วง ช่างอบอุ่น อบอวล ด้วยความสุข

มันเกิดการเปลี่ยนแปลงในใจของผมแล้ว ตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องตรวจ






วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ปวดขาจากการนั่งสมาธิ

นั่งสมาธิแล้วปวดขา มึนชา ขยับไม่ได้ ??
     ท่านั่งสมาธิมาตรฐานต้องใช้ขาขวาทับขาซ้าย แล้วตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น จากการที่งอเข่าเป็นเวลานาน ทำให้เกิดแรงกดทับที่พื้นที่หลังหัวเข่า จากการสังเกต เมื่อนั่งสมาธิไปประมาณ 20 นาทีจะเริ่มมีอาการมึนชา และปวดที่หัวเข่า แล้วค่อยๆลุกลามมาที่ขาจนไปถึงเท้า บางคนก็เกิดอาการทั้งสองข้าง บางคนก็เกิดอาการข้างเดียว กลไกลเกิดจากแรงดันที่เพิ่มมากขึ้นจากการงอเข่า ทำให้กล้ามเนื้อใต้ข้อพับเข่าเกิดอาการบาดเจ็บ หรือ เส้นเลือดกับเส้นประสาทที่บริเวณนั้นได้รับการกระทบกระเทือน จากแรงดันที่กดทับทำให้การไหลเวียนเลือด และการส่งกระแสประสาทบกพร่อง จนเกิดอาการดังที่กล่าวมา
     ขอแนะนำวิธีที่จะช่วยลดอาการปวดขาจากการนั่งสมาธิดังนี้
1.ก่อนนั่งสมาธิ
   1.1 ยืดเหยียดกล้ามเนื้อน่อง กล้ามเนื้อต้นขาทั้งหน้าและหลัง โดยให้ทำทั้งสองข้าง เหยียดกล้ามเนื้อค้างไว้อย่างน้อย 30 วินาที 
                                    (ที่มา : sassyfitgirl.com)
   1.2 เดินจงกรม ก่อนนั่งสมาธิ พบว่าช่วยลดอาการปวด หรือแทบไม่ปวดขาเลย 
   1.3 เปลี่ยนเป็นนั่งเก้าอี้แทน
   1.4 นั่งสมาธิให้สั้นลงเหลือ 10-15 นาที   
2.ขณะนั่งสมาธิ
    2.1 ถ้าเกิดอาการปวดขาขึ้นมาระหว่างนั่งสมาธิ ให้ตั้งจิตให้มั่นต่อสู้กับความเจ็บปวด มันก็แค่อาการปวดที่เกิดขึ้นกับขา เอาจิตเป็นผู้ดู ให้รู้ว่าแค่อาการปวด ร่างกายไม่ใช่ตัวตนของเรา อยากปวดก็ปวดไปสิ พร้อมทั้งบริกรรมคำว่า "ปวดหนอ" ผมเคยเอาชนะความปวดด้วยวิธีนี้ได้ครั้งหนึ่ง ตอนบริกรรมมันปวดมากแสนสาหัส จนถึงจุดที่มันปวดมากที่สุด แล้วมันก็คลายปวดเอง ผมดีใจมากที่เอาชนะความปวดได้ครั้งแรกในชีวิต 
    2.2 ขยับเปลี่ยนท่านั่งตั้งแต่ที่เริ่มมีอาการปวด อาจนั่งแบบสบายๆ เช่น เปลี่ยนเป็นนั่งพับเพียบ แต่วิธีนี้อาจส่งผลต่อการเกิดสมาธิได้ให้ระวัง
3.หลังนั่งสมาธิ
   3.1 ให้ยืดกล้ามเนื้อน่องทันที โดยการนั่งเหยียดขา ก้มตัวเอามือดึงปลายเท้าเข้าหาตัวเองอย่างน้อย 30 วินาที
                            (ที่มา: www.ilovekickboxing.com)

   3.2 ดึงหัวแม่เท้า และนิ้วชี้เท้า ข้างที่ปวดให้แยกออกจากกัน ทำค้างไว้อย่างน้อย 15 วินาที และทำซ้ำ จนอาการปวดทุเลา
                            (ที่มา : pelvichealthphysio.blogspot.com)

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ผู้ให้สุดท้ายแล้วย่อมได้รับ

สุขจากการให้
        มีอยู่ครั้งหนึ่งผมนั่งเครื่องบินไปลงกรุงเทพมหานคร พอเครื่องกำลังจะจอด ผู้โดยสารแทบทุกท่านต่างกุลีกุจอรีบเร่งที่จะลงจากเครื่อง ถอดสายคาดนิรภัย เสียงดัง แต๊บ แต๊บ ตั้งแต่เครื่องยังไม่จอดสนิท
        ผมรอจนมีสัญญาญให้ถอดสายคาดนิรภัย จึงถอดสายคาดออก แต่ยังไม่สามารถ ไปเอากระเป๋าที่อยู่บนชั้นเหนือศีรษะได้ เพราะเพื่อนผู้โดยสารต่างยืนออหนาแน่นบนทางเดิน
        พอมีจังหวะที่คนเริ่มเดิน ผมจึงแทรกเบียดตัวเอากระเป๋าบนชั้นลงมา โดยที่ไม่มีท่าทีของเพื่อนผู้โดยสารท่านใดจะชะลอให้ผมเลย
         แต่แล้วมีผู้หญิง วัยทำงานท่านหนึ่ง หยุดรอให้ผมหยิบกระเป๋า  ผมหันกลับไปขอบคุณ เธอยิ้มให้เล็กน้อย พร้อมผายมือ ในลักษณะให้ผมไปก่อน 
       ความรู้สึก ณ ตอนนั้นเป็นความรู้สึกดี ในท่ามกลางความเร่งรีบของผู้คน เหมือนต้นไม่ที่ขาดน้ำเพราะฝนแล้งมานาน ได้รับน้ำ 1 ฝักบัว ผมรู้สึกถึงความปิติ
        ออกจากสนามบินดอนเมืองผมขึ้นแทกซี่ จะไปลงที่ศูนย์ประชุมแห่งหนึ่ง ปรากฎว่าผมบอกผิดที่ จนไปประชุมสาย จึงมองมุมบวกว่า ก็ดีนะครั้งหน้าจะได้ไม่หลงทางอีก
        หลายวันต่อมา ผมได้ส่งต่อความรู้สึกดีจากการให้ โดยหยุดรถให้คนที่จะข้ามถนนได้ไปก่อน ทำไปแล้วรู้สึกดีนะ
       นี่คือความสุขเล็กๆจากการเป็นผู้รับ และขยายความสุขเล็กๆนั้นส่งต่อไปยังผู้อื่น

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เปลี่ยนหนูให้เป็นอิสรภาพทางการเงิน

มีขั้นตอนดังนี้
1. นำซากหนูตาย ไปขายให้คนเลี้ยงแมว ได้ 5 บาท
2. นำเงิน 5 บาท ไปซื้อน้ำอ้อยเลี้ยงคนเก็บดอกไม้  จนได้ดอกไม้มาตอบแทนน้ำใจ แล้วนำดอกไม้ไปขาย
3. นำดอกไม้ไปขาย ซื้อน้ำอ้อยไปเลี้ยงคนเก็บดอกไม้ ให้มากขึ้น และหลายครั้ง จนเก็บเงินได้สัก 500 บาท
4. วันนึงพายุเข้าพัดต้นไม้ในอุทยาน โค่นล้มระเนระนาด ชายหนุ่มอาสาเก็บกิ่งไม้ใบไม้พวกนี้ โดยขอเอาไปทั้งหมด โดยขอแรงเด็กที่กำลังวิ่งเล่น โดยเลี้ยงน้ำอ้อยคนละถุง โดยกิ่งไม้ถูกนำมากองไว้หน้าอุทยาน
5. ช่างปั้นหม้อมือดี ผ่านมาเห็นเข้า ชายหนุ่มจึงขายเศษกิ่งไม้ทั้งหมด ได้เงิน 5000 บาท พร้อม แถมตุ่มใหญ่อีก 4 ใบ จากช่างปั้นหม้อ
6. เขาจึงตักน้ำดื่มใส่ตุมใหญ่ 4 ใบ ไปตั้งรอตรงปากทางที่คนเกี่ยวหญ้า 500 คน จะผ่านมา แล้วเชื้อเชิญให้ดื่มน้ำ จะได้หายเหนื่อย
คนเกี่ยวหญ้าขอบคุณในน้ำใจ พร้อมสัญญาว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกมาเลย
7. วันหนึ่งมีพ่อค้าม้า 500 ตัวจากต่างเมืองแวะมา ชายหนุ่มจึงขอร้องพี่คนเกี่ยวหญ้าขอหญ้าคนละ 1 กำ ปรากฏว่าวันนั้น หญ้าขาดแคลนมากเพราะทุกคนนำมาให้ชายหนุุม เขาจึงขายหญ้าให้พ่อค้าม้าได้ราคาดีมาก 
8. ชายหนุ่มทราบข่าวว่า อีก 2 วัน จะมีเรือเดินสินค้ามาเทียบท่า
เขาจึงลงทุนเช่ารถม้า พร้อมทั้งเช่าเสื้อผ้าแต่งตัวภูมิฐาน แล้วไปเจรจากับหัวหน้านายเรือ เพื่อขอซื้อสินค้าทั้งหมดในเรือ โดยวางเงินมัดจำไว้ก่อนส่วนหนึ่ง 
9. หลังจากมัดจำสินค้าทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงป่าวประกาศว่า สินค้าในเรือทั้งหมดเป็นของข้าพเจ้า ใครสนใจติดต่อข้าพเจ้าโดยตรง วันนั้นมีพ่อค้ามากมายที่มาทีหลัง จึงขอซื้อสินค้ากับชายหนุ่ม และร่วมเป็นหุ้นส่วน
10. ปรากฏว่า ชายหนุ่มได้กำไรจากการขายสินค้าจากเรือ 1 ล้านบาท
11. เศรษฐีผู้หนึ่ง แอบสังเกตชายหนุ่ม และทึ่งในปัญญา ความสามารถ จึงยกลูกสาวคนเดียวให้ชายหนุ่มดูแล พร้อมกับครอบครองมรดกอีกมากมาย

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ยักษ์ผู้ฆ่าแจ็ค

วันนี้มาดูว่าทำไมแจ็คจึงถูกฆ่า

        เข้าสู่วันที่สองของการแข่งขันวอลเลย์บอลทีมหญิง เพื่อคัดเลือก 4 ทีมไปโอลิมปิกที่บราซิล โดยแข่งที่ญี่ปุ่น
        วันนี้แจ็คไทยของเรา เจอกับยักษ์อิตาลี ที่ทีมไทยไม่เคยชนะทีมนี้ได้เลย วันนี้จึงหมายมั่นจะสร้างประวัติศาสตร์ให้ได้
        เปิดตัวมา set แรก แจ็คไทย ใส่ไม่ยั้ง เสริฟ บอลสูตร บอลสปีด เหมือนอิตาลีโดนพายุหมัด สวนหนักๆคืนได้ดอกสองดอก แต่ในยกแรกนี้เสร็จไทย คะแนนขาดลอย 25 - 17 สิ่งนี้มันทำให้ผู้ชมอย่างผมคิดไปไกลว่า วันนี้อิตาลี่เสร็จไทยแน่
        พอเริ่ม set ที่สอง อิตาลีส่งสองสาวผิวเข้ม สูงชะลูด 2 คน ลงมา เกิดการณ์ผันแปร สาวผิวเข้มโดดสูงมาก เหนือบล็อค ใส่แต้มรอเลยถ้าได้ตบ บวกกับอิตาลีเสริฟได้พุ่งมาก ทำลายเกมรับทีมไทย แจ็คไทยก็พยายามสู้นะ แต่ต้านทานไม่ไหวพ่ายไป 16 - 25 
       set ที่ สามและสี่ อิตาลีคุมเกมโดยสิ้นเชิง โดยยักษ์สาวผิวเข้ม บวกเสริฟดี บล็อคก็เด่น เหนียวด้วย ไทยไม่สามารถต้านทานได้ จึงพ่ายไปในสอง set ต่อมา วันนี้แจ็คไทยจึงพ่ายไปแบบได้ลุ้น1-3 เกม
จุดเปลี่ยนของยักษ์ที่กลับมาได้
1. จับทางแจ็คไทยได้ จับจังหวะไทยได้ โดยแลกกับ 1 set ที่เสียไป
2. ใช้หนักและเน้น เพื่อสยบความเร็วของไทย โดยส่งอาวุธหนักและแรงคือยักษ์สาวผิวเข้ม ส่วนเน้นคือเสริฟได้ส่ายมากและพุ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าบอลแรกไทยเริ่ม set ที่สองนั้นพังทลาย
3. อารมณ์ฮึกเหิม มุ่งมั่น ปั้นหน้า ได้แรงกว่าทีมไทย
4. ไทยปั้นหน้าสู้ไม่แรงเท่าอิตาลี อันนี้ส่งผลต่อความฮึกเหิม แต่ละคนยิ้มน้อยๆ อ่อนหวาน

สรุปทั้งหมดนี้จากความเห็นส่วนตัว จึงเป็นที่มาของยักษ์ผู้ฆ่าแจ็ค
ถ้าแจ็คอยากล้มยักษ์ มีข้อสังเกตอยู่อย่างเดียว คือ รักษาสภาวะ set แรกเอาไว้ให้มั่น ถ้ายักษ์แก้เกม แจ็คต้องเดินหมากล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งขั้น เพื่อรักษาสภาวะ set แรกให้คงอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะ set ไหนก็ตาม 

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

กลยุทธ์ล้มยักษ์

ค้นหาตัวเองให้เจอ
        เสริมจุดเด่นของตนเองให้เจ๋ง
                หมั่นฝึกฝนและปรับปรุง

  วันนี้ได้ดูวอลเล่ย์บอลคัดโอลิมปิก ที่ประเทศญี่ปุ่น
ประเภททีมหญิง ระหว่าง ไทย VS โดมินิกัน
มองแว่บแรกเสียวแทนไทยเหลือเกิน โดมินิกันมีคนสูง 2 เมตรหนึ่งคน และ 1.90 เมตรอีกคน และน่าจะอยู่ในอันดับ 7 ของโลก สูงเฉลี่ย 1.84 เมตร
   ส่วนไทยสูงเฉลี่ย 1.75 เมตร สูงสุด 1.83 เมตร ระหว่างนั่งดูโอ้พระเจ้าเราสู้กับโดมินิกันสนุกมาก
   โดมินิกันเหมือนมีอาวุธหนักหน่วงอยู่คนหนึ่ง ตบได้หนักหน่วง รุนแรงมาก โดดแทบจะเหนือบล็อคตลอด โดยส่วนใหญ่มือเซ็ตจะชงให้คนนี้ทำแต้ม ซึ่งได้ผลเป็นส่วนใหญ่ ได้แต้มเป็นกอบเป็นกำ
   แต่ช้าก่อน ทีมไทยเล่นได้เป็นทีมมากกว่า ไม่มี One Man Show อาวุธเด็ดคือ สามเมตรที่เล่นได้เกือบทุกคน บอลสูตรมากมายรวดเร็ว จนโดมินิกันงง เสียขวัญไปเลย ปืนใหญ่โดมินิกันทำงานลำบาก เพราะเจอกระสุนลูกปรายที่จับทางลำบาก เพราะมันแตกแขนงมากมาย
    ผมดูทีมไทยเล่นแล้วเพลิดเพลินมาก เหมือนดูการแสดง ที่เราคาดเดาล่วงหน้าไม่ได้ ว่าบทต่อไปจะไปทางไหน มันท้าทายให้ติดตาม รู้แต่ว่าบทนี้กำกับมาให้เราชนะ แต่ผู้ชมอย่างผม คาดเดาเนื้อเรื่องไม่ได้

สรุปบทเรียนดีๆที่ได้จากการดูแมทช์นี้คือ
ค้นหาตัวเองให้เจอ(ความเข้าใจเกม บอลสูตร)
เสริมจุดเด่นของตนเองให้เจ๋ง(ความเร็ว ความคล่อง)
หมั่นฝึกฝนและปรับปรุง(ปิดจุดอ่อนเดิม เติมกลยุทธ์ใหม่ๆ)


วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เปิดคลินิกอย่างไรให้รวย

สำหรับคุณหมอมือใหม่ทั้งหลาย อยากมีรายได้นอกจากเงินเดือนอย่างเดียวฟังทางนี้
เคล็ดลับเปิดคลินิกให้เด็ดดวง
1. มีหน้าที่รับผิดชอบเยอะๆ ไม่ว่าเป็นงานโรงพยาบาล หรืองานของจังหวัด
2. ไปประชุมที่จังหวัด หรือส่วนกลางบ่อยๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้
3. คิดค่ารักษาถูกไว้ก่อน ไม่ต้อง up ราคาบ่อย เดี๋ยวคนไม่เข้าร้าน
4. เลือกทำเลทำคลินิกที่คิดว่ารถรา ผ่านไปมาสะดวก ถ้าได้ที่ถูกใจไม่ต้องต่อราคาค่าเช่าเจ้าของตึก
5. ไม่ต้องมีเครื่องอัลตร้าซาวน์ เพราะราคาแพง
6. ไม่ต้องทำหัตถการ เช่น ผ่าซีสต์ เพราะเสียเวลา
7. ไม่ต้องให้น้ำเกลือ เพราะใช้เวลานาน
8. ไม่ต้องนัดติดตามบ่อย เพราะน่าจะหายขาดแล้ว
9. ลองเปิดคลินิกดูสัก 1 ปี แล้วค่อยมาประเมินว่ามันสร้างรายได้จริงไหม

        ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ถ้าทำตามจะเด็ดดวงมาก แต่ทว่ารายได้จะสวนทางกับความเด็ดดวงดังกล่าว
สรุปแล้ว ถ้าอยากเปิดคลินิกแล้วรวย ให้ทำตรงกันข้ามกับที่กล่าวมาทั้งหมดเลยนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เคล็ดลับสมาธิ

สมาธิ
         Meditation
        ในตอนนี้จะขอกล่าวถึงประสบการณ์ที่ได้ไปอ่านหนังสือมา หรือได้ฟังต่อๆกันมา เป็นเทคนิคที่น่าสนใจดี
1. ก่อนนั่งสมาธิควรเดินจรงกรมก่อน เพราะจะได้สมาธิหยาบ แล้วเวลานั่งสมาธิจริงจะทำให้สมาธิละเอียดขึ้น(หลวงพ่อวิริยังค์)
2. ก่อนนั่งสมาธิควรอธิษฐานจิตก่อน จะช่วยให้เกิดความแน่วแน่ เพราะมีเป้าหมายในการปฏิบัติ(หลายท่านทำอย่างนี้)
3. ช่วงเริ่มต้นทำสมาธิควรจดจ่อที่คำบริกรรม เพื่อเป็นตัวกรองความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ จิตจะได้จดจ่อที่คำบริกรรม
4. เมื่อบริกรรมไปสักพัก จิตอาจว่อกแว่กไปคิด ก็อย่าเสียใจ ให้รู้ว่าคิดแล้วดึงมันกลับมาที่คำบริกรรม
5. เมื่อบริกรรมไปสักพักคำบริกรรมอาจหายไป ไม่ต้องตกใจ ให้ตามรู้ลมหายใจแทน ดังนี้ หายใจเข้าให้รู้ หายใจออกก็รู้ รู้เฉยๆ สบายๆ 
6. หลังจากทำสมาธิจนพอใจแล้ว ให้แผ่เมตตา
7.ถ้าทำสมาธิไปนานๆ หลายวัน หลายๆท่านพบว่า ทำไมเราไม่รู้สึกปิติเหมือนแต่ก่อน ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะมันเป็นความเคยชินกับปิติแล้ว เราจึงแทบไม่รู้สึกอย่างเดิม ควรทำสมาธิต่อไป 
8. บางท่านนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการอยากลบหลู่พระพุทธเจ้า ให้กราบพระพุทธรูปไปเรื่อยๆ จนจิตมันไม่คิดลบหลู่ บางท่านต้องกราบเป็นร้อยครั้ง(หลวงปู่ตื้อ)
9. สุดท้ายอย่าไปคาดหวังมาก ว่านั่งสมาธิแล้วต้องได้ โน่น นี่ นั่น 
ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ให้ทำ

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ลมหายใจสุดท้าย ดูแลอย่างไร

วันนี้จะเล่าเรื่องอาการของผู้ที่เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิต
        
        ทุกคนในโลกนี้เมื่อเกิดมาแล้ว ล้วนต้องตายกันทุกคน ขึ้นอยู่กับเวลา และสถานการณ์ ในบทความนี้จะกล่าวถึงผู้ที่มีอาการที่เข้าได้กับช่วงสุดท้ายของชีวิต เช่น ผู้ป่วยระยะสุดท้ายของโรคต่างๆ
        ลักษณะที่สังเกตได้คือ
        1. กินดื่มได้ลดลง
        2. เหนื่อยง่าย นั่งนอนเป็นส่วนใหญ่
        3. สื่อสารได้ช้าลง
        4. เพ้อ สับสน
        ถ้าพบผู้ที่เข้าได้ในลักษณะนี้ นี่คือสัญญาณว่า เริ่มเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว
        เราจะดูแลเขาเหล่านั้นอย่างไร
        1. ตั้งสติให้พร้อม เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
        2. อย่าบังคับให้ผู้ป่วยกินมากเกินไป
        3. อย่าให้น้ำเกลือโดยไม่จำเป็น
        4. ปลดพันธนาการทั้งหลาย เช่น ที่ให้น้ำเกลือ สายสวนปัสสาวะ
สายยางอาหาร
        5. ทำตามความประสงค์ของผู้ป่วย ที่ยังค้างคา ไปจัดการให้เรียบร้อย
        6. เหนี่ยวนำให้ผู้ป่วยน้อมระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่เคยทำมา หรือระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

นี่คือความฝัน

ลองนึกดูมันจะสนุกสุดขั้วแค่ไหน ถ้าเราโลดแล่นในความฝันของตนเอง โดยรู้ตัวว่ามันคือความฝัน แต่ยังไม่ขอตื่น
      ย้อนกลับไปเมื่อผมอยู่ระดับชั้นประถมศึกษา ผมเกิดความคิดขึ้นมาว่าถ้าเรารู้สึกตัวว่าฝันในความฝัน มันจะเกิดอะไรขึ้น มันต้องมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นแน่นอน
        ก่อนนอนในทุกคืนผมจึง ท่องประโยคอยู่อย่างหนึ่ง ด้วยหวังว่ามันจะทำให้ผมตื่นในความฝัน
        "นี่คือความฝัน" ผมท่องประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนนอนทุกวัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ไม่รู้ว่ากี่คืนที่ท่องคำๆนี้
        ณ โรงเรียนประถมประจำอำเภอ ผมกำลังอยู่ในหอประชุมของโรงเรียน มีเพื่อนนักเรียนกำลังวิ่งหยอกล้อไปมา มีแม่ครัวกำลังทอดอะไรสักอย่างน้ำมันเดือด ปุด ปุด
        "นี่คือความฝัน" มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาในความคิดผม ในทันทีทันใดนั้นผมรู้สึกตัวว่า มันเป็นความฝันแน่ๆ ผมตื่นเต้น ที่จะได้สนุกในความฝัน
          ในฝันที่ผมรู้สึกตัวคร้งนี้ ผมเอามือไปจุ่มในกระทะของแม่ค้าที่มีน้ำมันเดือด 
        "ฮ่า ฮ่า ฮ่า" ผมลำพองในใจก็มันเป็นฝันนี่น่า จะเป็นไรไป แม่ค้าในฝันถอยหลังไปหนึ่งก้าวที่เห็นผมทำอะไรแปลกๆ แผลงๆ ยังไม่หมดเท่านี้ ผมยังปีนเสาขึ้นไปคานใต้หลังคาหอประชุม สูงสัก 5 เมตร แล้วกระโดดลงมา พอเท้ากระทบพื้นไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย
         ผมไม่รู้ว่าผมตื่นนอนในตอนไหน แต่ฝันวันนี้มันตราตรึงใจ ไม่มีวันลืมเลย

สิ่งที่ได้เรียนรู้
        หากเปรียบความฝันในหนึ่งคืน เป็นชีวิตของคนหนึ่งคนทั้งชีวิต
ถ้าเรามีสติ รู้สึกตัว เราสามารถที่จะเผชิญปัญหาต่างๆ โดยไม่ต้องกล้วร้อน กลัวเจ็บ กลัวเสียใจ เพราะมันก็แค่เพียง 100 ปีเท่านั้น พอตายไปมันก็เหมือนกับเราตื่นมาในเช้าวันใหม่ 
        ดังนั้นในช่วงที่มีชีวิตอยู่ จงอยู่อย่างมีสติ รู้สึกตัว ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า จะได้ไม่ต้องเสียดายในภายหลัง


อะไรที่ทำให้องคุลีมาลกลับใจ



เราจะรับมือกับกับคนที่ลุ่มหลงมากและมีกำลังมากอย่างไร

        ขอยกตัวอย่างเรื่องราวพุทธประวัติ ในสมัยนั้นองคุลีมาล ผู้แสวงหาวิชาสุดยอดด้วยการประหารผู้ที่ผ่านไปมาในทางเปลี่ยว ได้สังหารคนไปแล้ว 999 คน เหลืออีกคนเดียว ก็จะครบ 1,000 ด้วยความหวังว่าปรมาจารย์จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ 
        ลักษณะขององคุลีมาลร่างใหญ่ นิสัยเด็ดขาด เหี้ยมหาญ เพื่อเป้าหมายได้สังหารคนโดยไม่กระพริบตา วิชาการต่อสู้ไม่มีผู้ใดทัดเทียมได้
        พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณว่า จะเกิดเหตุไม่ดีเกิดขึ้น นั่นคือ คนที่ 1,000 จะเป็นแม่ขององคุลีมาล ท่านจึงหมายไปปราบองคุลีมาล โดยปรากฎกายเดินผ่านทางเปลี่ยวที่องคุลิมาลดักรออยู่
        "คนที่หนึ่งพันมาแล้ว" องคุลีมาล แสยะยิ้มดีใจที่มุมปาก ทันใดนั้นจึงกระโจนกาย ออกจากที่ซ่อน พุ่งไปยังทางที่พระพุทธเจ้ากำลังเดินผ่าน หมายเอาดาบฟาดไปยังสมณะรูปนี้ ให้สิ้นชีพในดาบเดียว
แต่ทว่าช่องว่าง 10 ก้าวระหว่างองคุลีมาลและพระพุทธองค์ ไม่มีทางไหนที่องคุลีมาลจะทำให้มันสั้นลงได้สักที 
         "หยุดก่อน สมณะ" องคุลีมาล ตะโกนออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยปานใจจะขาดปนสงสัย ที่วิ่งไล่เท่าไหร่ก็ไม่ทันสักที 
        "เราหยุดแล้ว แต่ท่านนั่นแหล่ะ ที่ยังไม่หยุด" พระพุทธองค์ปล่อยวาจาเรียบง่ายและทรงพลังออกมา
        องคุลีมาลยิ่งโมโหหนักยิ่งขึ้น ไฉนสมณะท่านนี้จึงกล่าวเท็จ ก็เห็นๆอยู่ว่าวิ่งไล่ยังไงก็ไม่ทัน
        "ที่หยุดนั่นคือ เราหยุดจากบาปและการเข่นฆ่าทั้งปวง แล้วท่านล่ะ หยุดหรือยัง" พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าองคุลีมาลกำลังเหนื่อย และสับสน จึงยิงคำถาทรงพลังออกไป กระทบหูองคุลีมาล แต่กระเทือนไปถึงส่วนลึกในใจองคุลีมาล จนรู้สึกตัวชา ปลดเปลื้องพันธนาการที่มัวเมากับการเข่นฆ่า
        ทันใดนั้นองคุลีมาลเกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ได้ทบทวนสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาทั้งหมด มันเป็นทางที่ผิดบาป แต่คำกล่าวของสมณะท่านนี้ ช่างกระทบใจยิ่งนัก ไม่เคยได้ยินจากท่านอาจารย์ที่สำนักมาก่อน องคุลีมาลจึงได้สติกลับมา ฆาตกรตนนั้นได้หายไปแล้ว จึงขอบวชติดตามพระพุทธองค์ 

สรุป ถ้าเราจะทำงานร่วมกับคนที่มีความยึดมั่นมากจะทำอย่างไร จากตัวอย่างนี้
นวดให้เหนื่อย คือฟังเขาพูดให้มากๆ จนเขาหมดเรื่องที่จะเล่า โดยฟังด้วยความใส่ใจ
ดึงให้สับสน เสนอความคิดที่ท้าทายความเชื่อดั้งเดิมของเขา ว่าคิดอย่างไรบ้าง
จี้ให้โดนจุด ตั้งคำถามที่ทรงพลัง ที่กระทบเข้าไปภายในใจ ทำให้เขาต้องฉุกคิด