หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

หัวเขียว ตัวแสบ

   เย็นวันหนึ่ง ฉันเผลอเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ห้าบาน มีแมลงวันหัวเขียวตัวเขื่องบินเข้ามาในห้อง เสียงปีกแหวกอากาศของมันดังมาก มันบินวนไปวนมาบินขึ้นบินลง จนน่าเวียนหัว
   ฉันพยายามไล่มันออกจากห้อง สะบัดพัดโบกผ้าไปมา มันก็ยังไม่ยอมไปไหน ทั้งที่หน้าต่างบานเดิมเปิดทิ้งไว้ มิหนำซ้ำบางทีมันบินไปมุมโน้นที มุมนั้นที ประหนึ่งหยอกล้อฉัน
   ฉันคงเป็นหอยทากในสายตาเจ้าหัวเขียว ไม่มีวันที่จะไล่ทัน 
   ฉันนั่งนิ่งสักพักด้วยความเหนื่อย พอสงบใจได้ เกิดปิ๊งแว้บขึ้น ตอนนี้เป็นเวลาหัวค่ำแล้ว ปิดหน้าต่างทุกบาน เปิดประตูห้องให้กว้าง เปิดไฟนอกห้องให้สว่าง ปิดไฟในห้องให้มืดสนิท
   " แต๊บ ! " เสียงปิดสวิตซ์ไฟในห้องดังขึ้น
ทันใดนั้นฉันเห็นเจ้าหัวเขียว บินตรงลิ่วจากที่มืดมิดไปยังที่สว่าง จากในห้องไปนอกห้อง
   ฉันรีบปิดประตูห้องในทันที ลาก่อนเจ้าตัวแสบ

อุปมาดั่ง
 แมลงวัน คือ ตัวกิเลส
 หน้าต่างทั้งห้าและประตู คือ 
     ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
 ในห้อง คือ ตัวตนของเรา

   อันตัวเรานั้น ไม่รู้แน่ชัด มีความเศร้าหมอง เข้ามาจับจองตั้งแต่เมื่อไหร่ อาศัยอายตนะทั้งหก เป็นประตูหน้าต่างให้กิเลสแทรกซึม เข้ามาซ่อนในซอกหลืบ คลังความทรงจำ ประสบการณ์ 
   หลายคน ทำความเพียรเพื่อขจัดกิเลส พยายามตามดูตามทางเข้าของเครื่องเศร้าหมอง แต่ยิ่งตามดูเท่าไหร่ มันยิ่งเหนื่อย มันมาได้เรื่อยๆ 
   เจ้ากิเลสคงเห็นว่ากำลังของเรา ตามมันไม่ทันหรอก ได้เพียงไล่จับเงาของมัน 
   หากเราวางใจด้วยความปล่อยวาง ไม่อยากเห็นอะไร ทำใจให้สงบเป็นกลาง สักพักเกิดปิ๊งแว้บขึ้น 
   ตอนนี้เราลืมตาเราจึงเห็นทุกอย่างผ่านดวงตาคู่นี้ หลับตาดีกว่า พาตัวไปอยู่ในที่สงัดเงียบ ไม่ต้องกินอะไร ไม่ต้องดมกลิ่นหอม จัดระเบียบร่างกายในท่านั่งที่สบาย แล้วทำความเพียร ด้วยความพอเหมาะทำให้ใจจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสร้างสมาธิ โดยอาศัยสติคอยกำกับ ทำไปเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกเป็นกลาง 
   ทันใดนั้นชั่ววูบของการสร้างสมาธิ แว้บขึ้นมาเป็นความสว่างในความมืดมิด เจ้ากิเลสค่อยๆโบกมือลาทีละตัวสองตัว สู้กับมันไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว บางคนเจ็ดวัน บางคนเจ็ดเดือน บางท่านเจ็ดปี สู้ไม่ท้อถอย ทำเป็นกิจวัตรประจำวัน จึงจะได้ปัญญาแท้จริง เป็นเครื่องตัดนางพญากิเลสให้ขาด หมดโอกาสสร้างลูกหลาน แล้วก้าวไปยังโลกุตระต่อไป 


   

   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น